ตั้งแต่ปี 1755 ความเป็นเลิศด้านการผลิตนาฬิกาถือเป็นภารกิจที่ไม่มีวันสิ้นสุด นอกเหนือจากประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ควรค่าแก่การเล่าขาน
ผู้มีวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและมุ่งมั่น: ชายเหล่านี้ได้สร้างรากฐานให้กับประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งมาจนถึงทุกวันนี้ มรดกของพวกเขาเป็นหัวใจสำคัญต่อแนวทางของ Vacheron Constantin และบุคลิกของพวกเขายังคงสัมผัสได้จวบจนทุกวันนี้ผ่านการแสวงหาความเป็นเลิศ จิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรม และทุกจังหวะของกลไกจากแบรนด์
ช่างประดิษฐ์ผู้เป็นเลิศ

1755 - จุดแรกเริ่ม
ในปี 1755 Jean-Marc Vacheron ช่างผลิตนาฬิกาผู้เชี่ยวชาญในวัย 24 ปี ได้เซ็นสัญญากับช่างฝึกหัดคนแรกในเวิร์กช็อปของเขา โดยแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการถ่ายทอดทักษะตนเอง สัญญานี้จึงถือเป็นดั่งใบแจ้งเกิดของเมซง ซึ่งทำให้ Vacheron Constantin เป็นแบรนด์นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดที่ดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้ง
ในเดือนเมษายน 1819 ความร่วมมือระหว่าง Jacques Barthélémi Vacheron (1787-1864) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาและหลานชายของผู้ก่อตั้ง และ François Constantin (1788-1854) นักธุรกิจผู้มากประสบการณ์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Maison Vacheron et Constantin อีกครั้ง

1819 - ก่อเกิดความร่วมมือ
ชายทั้งสองมีความสนใจในเรื่องนาฬิกาที่มีความซับซ้อนและสง่างามเหมือนกัน François Constantin มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจ และได้เปิดตลาดใหม่ๆ ผ่านการเดินทางตลอดช่วงสามทศวรรษให้กับเมซง ในวันที่ 5 กรกฎาคม 1819 François Constantin ได้เขียนจดหมายจากเมืองตูรินให้กับ Jacques Barthélémi Vacheron ผู้เป็นหุ้นส่วนของเขา โดยจดหมายฉบับนี้มีข้อความ ซึ่งจะกลายเป็นคำขวัญของเมซง:
“ทำให้ดีขึ้นหากเป็นไปได้ และเราทำให้สิ่งนั้นเป็นไปได้เสมอ”

1839 - นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคนิค
Vacheron Constantin ได้จ้าง Georges Auguste Leschot อัจฉริยะด้านวิศวกรรมการผลิตนาฬิกาเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาเครื่องมือสำหรับตัดแต่งเพื่อยกระดับคุณภาพการผลิต ในบรรดาสิ่งประดิษฐ์มากมายของเขานั้น เขาได้ดัดแปลงอุปกรณ์แพนโทกราฟีมาใช้ในการผลิตนาฬิกาในปี 1839 เพื่อช่วยให้สามารถผลิตและปรับขนาดชิ้นส่วนและส่วนประกอบของกลไกให้ได้มาตรฐาน ซึ่งช่วยให้สามารถผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงขีดความสามารถในการเปลี่ยนชิ้นส่วน ในปี 1844 อุปกรณ์เครื่องนี้ได้รับรางวัล Prix de la Rive อันทรงเกียรติจาก Arts Society สำหรับ “การค้นพบที่ล้ำค่าที่สุดต่ออุตสาหกรรมของเจนีวา”

1880 - ก่อเกิดสัญลักษณ์มอลทิส ครอส
ในปี 1880 มอลทิส ครอสได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ของเมซงอย่างเป็นทางการ การตัดสินใจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบชิ้นส่วนกลไกที่ติดตั้งบนที่ครอบกระปุกลานเพื่อให้มั่นใจว่าสปริงจะคลายตัวอย่างสม่ำเสมอ และช่วยให้สามารถบอกเวลาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
สัญลักษณ์มอลทิส ครอสของ Vacheron Constantin ได้รับการจดทะเบียนกับสำนักงานสิทธิบัตรแห่งสวิตเซอร์แลนด์ในกรุงเบิร์น
ประวัติศาสตร์ที่ก้าวต่ออย่างไม่หยุดยั้ง

1906 - จากร้านบูติกแห่งแรก...
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Vacheron Constantin ได้รับคำสั่งซื้อนาฬิกาจากบุคคลสำคัญต่างมากมาย อาทิเช่น ราชินี Marie of Romania พี่น้อง Henry และ William James รวมถึง เจ้าชาย Victor Napoleon หลายชายของ Jérôme Bonaparte
ในวันที่ 19 สิงหาคม 1906 Vacheron Constantin ได้เปิดตัวร้านค้าแห่งแรกในย่านดาวน์ทาวน์ เจนีวาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการจัดแสดงนาฬิกาสุดหรู

2004 - ...สู่ศูนย์การผลิตแห่งใหม่
ในวันที่ 9 สิงหาคม 2004 Vacheron Constantin ได้เข้าครอบครองโรงงานผลิตแห่งใหม่ใน Plan‑les-Ouates
อาคารร่วมสมัยที่มีรูปทรงของมอลทิส ครอสผ่าครึ่งได้รับการออกแบบสถาปนิกชื่อดัง Bernard Tschumi ได้รวมฝ่ายบริหาร ฝ่ายการจัดการ และเวิร์คช็อปไว้ในสถานที่เดียวกัน
ไม่ถึง 10 ปีต่อมา ในเดือนตุลาคม 2013 เมซงได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ใน Le Brassus ณ ใจกลาง Vallée de Joux
นับเป็นเวลากว่าสองศตวรรษที่ Vacheron Constantin ได้สำรวจทุกแง่มุมของการผลิตนาฬิกาตั้งแต่ตัวควบคุมทูร์บิญงไปจนถึงนาฬิกาดาราศาสตร์ นาฬิกาพร้อมเสียงบอกเวลา ไปจนถึงนาฬิกาโครโนกราฟ ความเชี่ยวชาญของเมซงยังขยับขยายไปสู่คาลิเบอร์ขนาดบางพิเศษ และศาสตร์แห่งกลไกสเกเลตันที่ได้รับการฉลุลายด้านหลัง
การบอกเวลาที่แม่นยำ

1819 - นาฬิกาโครโนกราฟและความแม่นยำ
นาฬิกาสำหรับวัดช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเดิมใช้ในการสังเกตทางดาราศาสตร์ และได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมาจากการบิน บริบททางการทหาร และการแข่งขันกีฬา Vacheron Constantin ได้เริ่มต้นการสำรวจกลไกวินาทีแบบขาขัดเฟืองในปี 1819 ตามด้วยนาฬิกาโครโนกราฟเรือนแรกในปี 1874 ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วมในการพัฒนานาฬิกาอย่างต่อเนื่องผ่านการเปิดตัวนาฬิกาโครโนกราฟอย่าง Cornes de Vache ในปี 1955 และล่าสุดนี้ นาฬิกาโครโนกราฟ Overseas ปี 2015 ยังมาพร้อมกับกลไกที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งมีตราประทับเจนีวา
นาฬิกาโครโนกราฟยังคงเป็นหนึ่งในกลไกคอมพลิเคชั่นเชิงกลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Vacheron Constantin มาโดยตลอด

1907 - ระบบโครโนเมทรีและความน่าเชื่อถือ
การแข่งขันด้านโครโนเมทรีในหลายประเทศในยุโรประหว่างช่วงศตวรรษที่ 19 ได้ส่งเสริมให้ช่างผลิตนาฬิกาพัฒนาศักยภาพของพวกเขาเพื่อคว้ารางวัลอันทรงเกียรติไปครอง Vacheron Constantin ได้ส่งนาฬิกาเข้าร่วมการแข่งขันด้านโครโนเมทรีของหอดูดาวเจนีวาตั้งแต่ในช่วงเริ่มแรก และได้ชนะรางวัลอันทรงเกียรติที่นำไปสู่การสร้างสถิติแห่งศตวรรษ
ในปี 1907 แบรนด์ได้เผยโฉมนาฬิการุ่น Chronomètre Royal เรือนเวลาที่น่าทึ่งนี้มาพร้อมกับความแม่นยำ และความน่าเชื่อถือที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นความสำเร็จในระดับนานาชาติ

1932 – ตอบสนองความต้องการในการเดินทาง
ในปี 1932 Vacheron Constantin ได้ร่วมมือกับ Louis Cottier เพื่อรังสรรค์นาฬิกาบอกเวลาโลก “ระบบโกต์ติเยร์” เรือนแรกขึ้นมา กลไกคอมพลิเคชั่นใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในปี 1931 นี้ได้ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิทัศน์การสื่อสาร และคมนาคมได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่เป็นกลไกเชิงกลเฉพาะของรุ่น 3372 ซึ่งแสดงเขตเวลา 24 เขต โดยใช้ดิสก์ที่หมุนรอบหน้าปัดตรงกลาง พร้อมกับมีขอบหน้าปัดด้านนอกที่ระบุชื่อเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกถึง 31 เมือง
การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และความท้าทายเชิงเทคนิค

1943 - นาฬิกากลไกมินิท รีพีทเตอร์ 4261 แบบบางพิเศษ
รุ่น 4261 เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่สำหรับนาฬิกาพร้อมเสียงบอกเวลา ผลงานที่ได้รับการรังสรรค์ในช่วงต้นทศวรรษ 1940 นี้ได้ช่วยให้ Vacheron Constantin ยกระดับตัวเองให้พร้อมรับมือกับความท้าทายเชิงเทคนิคของนาฬิกากลไกมินิท รีพีทเตอร์ เมซงได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยการสร้างกลไกอันบางเฉียบที่สร้างสถิติใหม่ ซึ่งหนาเพียง 3.2 มม. เท่านั้น นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับตัวเรือนหนา 5.25 มม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 มม. ซึ่งถือเป็นรุ่นนาฬิกาในตำนานของเมซง และหาได้ยากยิ่ง

1955 - คาลิเบอร์ 1003 แบบบางพิเศษ
เนื่องในโอกาสครบรอบสองศตวรรษ Vacheron Constantin ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการรังสรรค์เรือนเวลาอันหรูหรา และได้เผยโฉมนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุด ซึ่งผลิตขึ้นจากชิ้นส่วน 117 ชิ้น และได้รับการติดตั้งคาลิเบอร์ 1003 ขนาด 9 นิ้วในตำนาน โดยมีความหนาเพียง 1.64 มม. ทั้งยังเป็นหนึ่งในกลไกไขลานด้วยมือที่บางที่สุดในโลกจวบจนปัจจุบัน
ในปี 2015 คาลิเบอร์ 1003 ได้หวนกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของนาฬิกาทอง

1994 - กลไกสเกเลตัน
ผู้เชี่ยวชาญได้ยกย่องให้กลไกสเกเลตันเป็นเทคนิคที่ซับซ้อนในการผลิตนาฬิกา เทคนิคนี้ใช้การฉลุลายเพื่อทำให้ชิ้นส่วนของกลไกมีลักษณะกลวง โดยไม่ลดทอนความน่าเชื่อถือ ซึ่งถือเป็นงานที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และจำต้องอาศัยทักษะอันช่ำชองในระดับสูงที่มีเพียงช่างทำนาฬิกาไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
Vacheron Constantin เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ในปัจจุบันที่สามารถรังสรรค์คาลิเบอร์ฉลุลายอันซับซ้อน เฉกเช่น ระบบปฏิทินถาวร และกลไกบางพิเศษได้
การออกแบบเชิงเทคนิค

1996 - นาฬิกาที่มีการแสดงข้อมูลแบบพิเศษ
นาฬิการะบบเข็มแบบกระโดด ซึ่งเปิดตัวในปี 1824 เดิมได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้อ่านเวลาได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบัน กลไกคอมพลิเคชั่นสำหรับแสดงเวลานี้มักจะถูกจับคู่เข้ากับระบบเข็มนาทีแบบเรโทรเกรด ซึ่งเข็มนาทีจะเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งจากศูนย์ถึงหกสิบก่อนที่จะกลับมายังจุดเริ่มต้น และนับเวลาต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
นาฬิการุ่น “Saltarello” ที่เปิดตัวในปี 1996 ถือเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของแนวทางนี้ พร้อมแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานฟังก์ชันต่างๆ เข้าด้วยกันที่กลายมาเป็นส่วนสำคัญในจักรวาลทางเทคนิคของ Vacheron Constantin

2005 - การแสดงออกทางศิลปะอันไร้ขีดจำกัด
คาลิเบอร์ 2460 G4 ถูกสร้างขึ้นในปี 2005 และถูกใช้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมาพร้อมกับดิสก์สี่แผ่นที่ระบุชั่วโมง นาที วัน และวันที่ ช่องสำหรับอ่านเวลาและปฏิทินที่จัดวางอย่างสมมาตรรอบขอบหน้าปัดได้มอบพื้นที่ที่กว้างขวางให้ช่างฝีมือได้แสดงออกอย่างเต็มที่ เพราะผลงานชิ้นเอกเรือนจิ๋วไม่จำเป็นต้องมีเข็มนาฬิกาหรือตัวเลข
ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่กลไกมักจะถูกเลือกใช้กับนาฬิกาในคอลเลคชั่น Métiers d’Art
มรดกของ Vacheron Constantin ถูกสร้างขึ้นบนเรือนเวลาอันเป็นเลิศ ซึ่งแต่ละเรือนล้วนเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะและนวัตกรรมด้านการผลิตนาฬิกาอันโดดเด่นที่ก่อเกิดมรดกอันเป็นตำนานของเมซงตั้งแต่ปี 1755
มรดกที่ไร้กาลเวลา

1755 - นาฬิกาพกเรือนแรกที่สร้างขึ้นโดย Jean-Marc Vacheron
ความภาคภูมิใจในมรดกของ Vacheron Constantin คือนาฬิกาสีเงินเรือนนี้ที่ลงนาม J.M. Vacheron à Geneve บนกลไกเป็นนาฬิกาเพียงเรือนเดียวที่ระบุชื่อผู้ก่อตั้งเมซงตามชื่อจริงของเขา
นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการติดตั้งกลไก Verge ซึ่งมาพร้อมกับเข็มนาฬิการังสรรค์ขึ้นด้วยทองคำ สะพานจักร Balance-Cock เป็นส่วนของกลไกที่มองเห็นได้ชัดที่สุดทั้งยังแสดงให้เห็นถึงฝีมือระดับสูงในลวดลายอาหรับที่ละเอียดอ่อน มาตรฐานทางเทคนิคและความงามอันทวีคูณได้ค่อยๆ หล่อหลอมเอกลักษณ์ของเมซงขึ้นมา

1824 - ภารกิจอันไม่มีวันสิ้นสุดสู่ความเป็นเลิศทางศิลปะ
มรดกของ Vacheron Constantin เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ได้ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ทางเทคนิคเข้ากับสุนทรียศาสตร์อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร เมซงได้รับแรงบันดาลใจจากโลกมาโดยตลอด ทั้งยังแสดงให้เห็นความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับศิลปะ และวัฒนธรรมผ่านความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง
แบรนด์ได้รังสรรค์เรือนเวลาที่เป็นแบบอย่างแห่งนวัตกรรมและศิลปะ ซึ่งสะท้อนให้เห็นออกมาผ่าน La Belle Haute Horlogerie ความหลงใหลและความเชี่ยวชาญของพวกเขาได้ช่วยให้ช่างผลิตนาฬิกา และช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญของเราสามารถรังสรรค์ห้วงอารมณ์ การบอกเล่าเรื่องราว และแบ่งปันวิสัยทัศน์ทางศิลปะออกมาได้

1918 - ความยอดเยี่ยมทางเทคนิค
Vacheron Constantin ถือเป็นผู้ผลิตนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งมีประวัติการผลิตนาฬิกามาอย่างต่อเนื่องด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมายาวนานกว่า 270 ปี นาฬิกาของเมซงได้ซุกซ่อนกลไกที่ซับซ้อนเป็นพิเศษไว้ภายใต้การใช้งานที่เรียบง่าย กลไกคอมพลิเคชั่นและคุณสมบัติมากมาย อาทิเช่น นาฬิกาพร้อมเสียงบอกเวลา ทูร์บิญง นาฬิกาที่มีการแสดงข้อมูลแบบพิเศษ นาฬิกาคอมพลิเคชั่นทางดาราศาสตร์...
แบรนด์ได้สร้างชื่อเสียงผ่านการผสมผสานประเพณีอันไร้กาลเวลาเข้ากับนวัตกรรมสุดล้ำสมัย รวมถึงความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาเข้ากับการออกแบบอันวิจิตรงดงามเพื่อพลิกโฉมนาฬิกาแต่ละเรือนให้กลายเป็นผลงานชิ้นเอก
ผลงานสร้างสรรค์สำหรับผู้หญิง

1889 - หนึ่งในนาฬิกาสำหรับสุภาพสตรีเรือนแรก
แม้ว่าผู้หญิงจะเริ่มสนใจในการผลิตนาฬิกาตั้งแต่ยุคแรกๆ ทว่าพวกเธอมักสวมใส่นาฬิกาที่ได้รับการออกแบบให้เป็นเครื่องประดับ นาฬิกาสำหรับผู้หญิงรุ่นปี 1889 เรือนนี้เป็นหนึ่งในนาฬิกาข้อมือที่ได้รับการผลิตขึ้นเป็นชุดแรกๆ ซึ่งได้ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไม่น้อย แม้ว่านาฬิกาพกจะได้รับความนิยมอย่างไร้คู่แข่งจนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 20
เมซงได้ให้ความสำคัญกับผลงานสร้างสรรค์สำหรับผู้หญิงมาโดยตลอดในฐานะพื้นที่สำหรับการแสดง ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายในการผสมผสานสไตล์เหนือกาลเวลาเข้ากับเทรนด์แฟชั่นเพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทของผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ

1979 - Kallista, Tour De Force อันวิจิตรตระการตา
นาฬิการุ่น Kallista (แปลว่า “สง่างามที่สุด” ในภาษากรีก) ซึ่งมีความโดดเด่นในฐานะหนึ่งในผลงานเครื่องบอกเวลาที่เจิดจรัสที่สุด โดยได้รับการแกะสลักจากแท่งทองคำหนัก 1 กิโลกรัม ประดับเพชร 118 เม็ด รวมกว่า 130 กะรัต นาฬิกาเรือนนี้ใช้เวลาถึงห้าปีในการประกอบพชรเจียระไนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัดมุมที่เข้ากันทั้งหมด ทั้งยังใช้เวลากว่า 6,000 ชั่วโมงในการรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้
หนึ่งปีต่อมา เมซงได้เปิดตัวนาฬิการุ่น “Kalla” อันโดดเด่นที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ “Grand Lady Kalla” ปี 2024

2020 - เทพธิดาแห่งนาฬิกาเรือนใหม่
ในปี 2020 Vacheron Constantin ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่สำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ โดยเป็นการพบกันระหว่างโลกทั้งสอง: โอต์กูตูร์และโอต์ออร์โลเฌรีที่ได้รับการตีความผ่านงานฝีมือ ความแม่นยำ ความเป็นเลิศ และความงดงาม
นาฬิกาสุดคลาสสิกมาพร้อมการเติมแต่งเสน่ห์ที่สะท้อนถึงผู้หญิงยุคปัจจุบัน: เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ เป็นอิสระ และมีเสน่ห์
คอลเลคชั่นได้หวนกลับมาอีกครั้งในปี 2024 ผ่านความร่วมมือด้านงนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ระหว่าง Vacheron Constantin และ Yiqing Yin ผู้มากความสามารถจากโครงการ “One of Not Many”
เรือนเวลาอันเป็นเอกลักษณ์

1921 - American 1921
นาฬิกาข้อมือสุดล้ำในกล่องกันกระแทกนี้ถูกผลิตขึ้นสำหรับตลาดอเมริกาในช่วงยุค Roaring Twenties แห่งทศวรรษที่ 20 ซึ่งสามารถอ่านเวลาได้เพียงปรายตามองด้วยหน้าปัดลงยาสีขาวที่มาพร้อมเลขอารบิก 11 ตัว สเกลนาทีและหน้าปัดย่อยแสดงวินาที นาฬิกาอันเป็นเอกลักษณ์เรือนนี้ได้สะท้อนถึงทักษะและจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ของ Vacheron Constantin ซึ่งสอดคล้องกับห้วงอารมณ์แห่งการผจญภัยในช่วงทศวรรษ 1920
รุ่นนี้ได้รับการรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ในปี 2008 ผ่านการเปิดตัวนาฬิการุ่น Historiques American 21

1955- Historiques cornes de vache
นาฬิการุ่น "Cornes de vache” ได้เปิดตัวในปี 1955 ซึ่งได้รับการการตั้งชื่อตามรูปทรงเฉพาะของขานาฬิกา และได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วว่าเป็นหนึ่งในนาฬิกาโครโนกราฟที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น นาฬิกาเรือนนี้ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนจำกัด และได้กลายมาเป็นหนึ่งในรุ่นนาฬิกาที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดของเมซง
Vacheron Constantin มุ่งที่จะสรรค์สร้างประวัติศาสตร์ให้จับต้องได้ผ่านการเปิดตัวคอลเลคชั่น Historiques ในปี 2006 ซึ่งตอกย้ำถึงมรดกทางเทคนิคและสุนทรีศาสตร์อันมั่งคั่งของแบรนด์ผ่านการตีความรุ่นนาฬิกาอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาใหม่ รวมถึง การกลับมาของเรือนเวลาอันโดดเด่นเรือนนี้

1977- The Great Adventure 222
นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการเปิดตัวในปี 1977 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 222 ปีของเมซง ตัวเรือนแบบชิ้นเดียวบนสายนาฬิกาแบบพอดีมาพร้อมกับขอบหน้าปัดแบบช่องหน้าต่างเรือที่ยึดไว้ด้วยน็อตจะช่วยให้นาฬิกาทนทานต่อการสึกหรอในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก นาฬิกาเรือนเด่นที่มาพร้อมกับคุณลักษณะเฉพาะตัวเรือนนี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งในผลงานออกแบบที่เป็นที่จดจำมากที่สุดของ Vacheron Constantin ซึ่งได้เปิดตัวคอลเลคชั่น “Historiques” ในรุ่นทองคำในปี 2022 และรุ่นสแตนเลสสตีลในปี 2025

2018 - คอลเลคชั่น Fiftysix
Fiftysix เป็นทั้งชื่อและวันที่ซึ่งปลุกเอารุ่นไอคอนิกของ Vacheron Constantin จากปี 1956 ขึ้นมา Fiftysix ไม่ได้เป็นเพียงแค่รุ่นนาฬิกา แต่ได้รับการออกแบบมาเป็นคอลเลคชั่น ซึ่งมาพร้อมสไตล์แบบ “ย้อนยุคร่วมสมัย” ที่ผสมผสานองค์ประกอบแบบวินเทจอย่างขานาฬิกา ความงามที่ทันสมัยเช่นเม็ดมะยมทรงเรียวที่ผสมผสานเข้ากับขอบตัวเรือนอย่างกลมกลืน และหน้าปัดแบบแบ่งส่วนเพื่อการบอกเวลาที่ง่ายดาย
คอลเลคชั่น Fiftysix มาพร้อมกับตัวเรือนที่โดดเด่น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์มอลทิส ครอสของเมซง ซึ่งยังพบได้บนจานเหวี่ยงฉลุลายที่รังสรรค์ขึ้นจากโรสโกลด์
สถิติโลก

2024 – Les Cabinotiers The Berkley Grand Complication
Vacheron Constantin ขอเสนอนาฬิกาที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก นาฬิกาเรือนนี้ประกอบด้วยกลไกคอมพลิเคชั่น 63 กลไก และส่วนประกอบ 2,877 ชิ้น ซึ่งได้ทำลายสถิติเดิมที่เมซงเคยทำไว้ในรุ่น 57260 ในปี 2015 นาฬิกาเรือนแรกของโลกนี้เป็นผลจากการพัฒนาที่ยาวนานถึง 11 ปี ซึ่งโดดเด่นด้วยฟังก์ชันปฏิทินถาวรแบบจีน การนับรอบปฏิทินจันทรคติที่ซับซ้อนและแตกต่างจากปกติที่มีลักษณะเฉพาะนั้นทำให้มีการตั้งโปรแกรมกลไกของคาลิเบอร์ 3752 ที่แบรนด์ผลิตขึ้นเองไปจนถึงปี 2200 ซึ่งนับเป็นความสำเร็จของอัจฉริยภาพทางด้านการผลิตนาฬิกาอย่างแท้จริง

2019 - Twin Beat
เมื่อสวมใส่ นาฬิการุ่น Traditionnelle Twin Beat Perpetual Calendar นี้จะสร้างสรรค์จังหวะความถี่สูงที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ซึ่งแสดงชั่วโมง นาที วันที่ เดือน รอบปีอธิกสุรทิน และพลังงานสำรองบนหน้าปัด นอกจากนี้ คาลิเบอร์ 3160 QP ที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับนาฬิการุ่นนี้โดยเฉพาะ ยังมาพร้อมกับจานเหวี่ยงที่เลือกได้สองแบบ โดยเดินจะที่ความถี่ 5 เฮิร์ตซ์ (โหมดแอคทีฟ) และความถี่ 1.2 เฮิร์ตซ์ (โหมดสแตนด์บาย) และมอบพลังงานสำรองให้กับนาฬิกายาวนานถึง 65 วัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เทียบเท่ากับระบบปฏิทินถาวรทั่วไป

2017 - Celestia Astronomical Grand Complication
Celestia Astronomical Grand Complication 3600 แบบสองหน้าปัดได้ผสมผสานดาราศาสตร์ และศาสตร์แห่งการผลิตนาฬิกาไว้ในองค์ประกอบไวท์โกลด์อันสวยงาม นาฬิกาเรือนนี้มาพร้อมกลไกคอมพลิเคชั่น 23 กลไกที่สร้างสถิติใหม่ได้ปรากฏอยู่บนทั้งหน้าปัดด้านหน้าและด้านหลังของนาฬิกาเพื่อนำเสนอการอ่านเวลาในสามรูปแบบ ซึ่งประกอบด้วยเวลารัฐคติ เวลาสุริยคติ และเวลาดาราคติที่ต่างขับเคลื่อนด้วยชุดเฟืองของตัวเอง คาลิเบอร์ 514 ชิ้นส่วนโฉมใหม่ถือเป็นตัวแทนแห่งความซับซ้อนทางเทคนิค ซึ่งมีความลึกเพียง 8.7 มม. และมีกระปุกลานหกกระปุกที่จะช่วยให้นาฬิกาเดินต่อเองได้ยาวนานถึงสามสัปดาห์เต็ม

2005 - Tour de l’île
Vacheron Constantin ได้เปิดตัวผลงานชิ้นเอกนี้เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปีของเมซง Tour de l’île เป็นนาฬิกาข้อมือแบบสองด้านที่เป็นรุ่นที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ผลิตมา ทั้งมีความเป็นเลิศในทุกแง่มุม โดยมาพร้อมกับการผสมผสานกลไกแกรนด์คอมพลิเคชั่นถึง 16 กลไกอย่างไม่เคยมีมาก่อน นาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นเพียง 7 เรือนเท่านั้น ซึ่งต่อมาได้ชนะรางวัล Grand Prix de l'Aiguille d'or ที่ Grand Prix d'Horlogerie de Genève
